Market Share คือออะไร ผู้ประกอบการต้องรู้ก่อนทำธุรกิจ

 head


  Market Share หรือ ส่วนแบ่งตลาด คือ ตัวเลขที่บอกสัดส่วนยอดขายของแบรนด์ เทียบกับคู่แข่งทั้งตลาด ถ้าหากอธิบายให้เห็นภาพก็คือ สมมติว่า เราขายสินค้าสบู่แบรนด์ชื่อ A แน่นอนว่าเราต้องมีคู่แข่ง คือแบรนด์ B, C, D, … เต็มไปหมด แต่สถานะของเราในตลาดคือเรายิ่งใหญ่แค่ไหน เรามีสัดส่วนยอดขายเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วเป็นเท่าไร เช่น หากมีสบู่ขายทั้งหมด 100 ก้อนในตลาด แบรนด์ A ของเราขายได้กี่ก้อน แล้วคู่แข่ง BCDEF เนี่ย เค้าขายได้กี่ก้อนนั่นเอง ดังนั้นเราจะต้องรู้สถานะของตัวเอง เพื่อให้เราสามารถวางแผนการตลาดสำหรับการขายสบู่ให้แข่งกับคู่แข่งได้ ซึ่งถ้าหากในตลาด 100 ก้อน เราขายสบู่ได้ 30 ก้อน นั่นหมายความว่าแบรนด์ A ของเรามี Market Share เท่ากับ 30% 

    ก่อนที่จะไปดูว่า Market Share เราเป็นเราเท่าไรนั้น เราต้องเริ่มต้นจากขนาดตลาด (Market Size) ก่อน ซึ่งขนาดตลาดนั้นจะเป็นจำนวนเงิน (บาท) ทั้งหมดที่ไหลเวียนอยู่ในตลาด ตัวอย่างเช่น ตลาดน้ำแร่ในปี 2557 ดังภาพข้างล่างนี้ จะเห็นว่าขนาดตลาดทั้งหมด 2,500 ล้านบาท มีเจ้าตลาดคือ Menere ถือครอง Market Share ถึง  33% และรองมาคือ Aura 30% และแบรนด์อื่น ๆ รวมเป็น 100%

Market Share
ที่มา : https://positioningmag.com/59720



    นักวิชาการและสำนักต่าง ๆ ก็มักจะเปรียบเทียบ Market Share เป็นขนมเค้กก้อนหนึ่ง ที่เปรียบเสมือนตลาด และผู้แข่งขันในตลาดก็จะเป็นส่วนหนึ่งของเค้ก รวมกันเป็นหนึ่งก้อน โดยในโลกนี้ก็จะมีเค้กตั้งหลายก้อน ก้อนหนึ่งเป็นเค้กของตลาดสบู่ อีกก้อนเป็นเค้กของตลาดน้ำแร่ อีกก้อนเป็นตลาดเสื้อผ้า ฯลฯ

Market Share Cake

    คำถามถัดมาคือ แบรนด์เรามี Market Share เท่าไร? วิธีการคิด Market Share จะมีหลายวิธีด้วยกัน ซึ่งถ้าหากตลาดใหญ่มากระดับประเทศนั้นก็จะมีองค์กรหลายองค์กรที่จะวัดมูลค่าตลาดและประกาศ Market Share ออกมา เช่น บริษัทวิจัย Nielsen ก็จะมีการออกมาประกาศอยู่ทุกปี แต่ถ้าหากตลาดของเราเป็นตลาดที่ไม่ใหญ่ระดับประเทศนั้น เราสามารถวัดเองได้แบบคร่าว ๆ โดยการสำรวจคู่แข่งทั้งหมด และคำนวณยอดขายของเรา เทียบกับคู่แข่ง และวัดออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ได้


    หลังจากได้ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ Market Share ของเราและคู่แข่งออกมาได้แล้วนั้น เราจะทราบว่าเราเป็นใครในตลาด และในแต่ละบทบาทนั้นจะมีกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกัน ซึ่งบทบาทในตลาดตามจำนวน Market Share จะมีดังนี้

1.Market Leader

    คือ แบรนด์ที่มีจำนวน Market Share มากที่สุด เป็นกลุ่มเจ้าตลาดนั่นเอง เช่น มาม่า เป็นเจ้าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
กลยุทธ์ = รักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ เครื่องมือที่ทำการตลาดได้ดีก็ใช้เครื่องมือนั้นต่อไป หมั่นออกแคมเปญการตลาดอยู่เสมอ และคอยเฝ้าดูกลยุทธ์ของ Market Challenger ไว้ให้ดี

2.Market Challenger

    คือ แบรนด์ที่เป็นอันดับ 2 ที่เป็นรอง Market Leader มาเสมอ กลุ่มนี้จะมีเป้าหมายคือขยับไปเป็น Leader ให้ได้
กลยุทธ์ = เรียนรู้การทำการตลาดของ Leader จากนั้นออกแบบแคมเปญการตลาดใหม่ ๆ ออกมาให้ยอดขายพุ่งแซง Leader ให้ได้ มีการมองหาจุดอ่อนของ Leader และตีจุดอ่อนเพื่อแย่งชิงก้อนเค้กมาให้ได้มากที่สุด

3.Market Follower

    เป็นกลุ่มแบรนด์ที่เป็นอันดับ 3, 4, 5, … เป็นต้นไป คือจะไม่ได้โดดเด่นในตลาด แต่ก็มียอดขายอยู่อย่างสม่ำเสมอ การแข่งขันนั้นก็จะไม่เดือดเท่ากับ Leader กับ Challenger กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีลูกค้าประจำของตัวเองและมีสิ่งที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง

กลยุทธ์ = เรียนรู้กลยุทธ์และความเปลี่ยนแปลงของตลาด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง จะต้องเปลี่ยนไปตามตลาด เช่น ราคา รูปแบบสินค้า เป็นต้น

4.Market Niecher

    คือ กลุ่มที่มีความโดดเด่นแพรวพราวของตัวเองโดยเฉพาะ มีสินค้าที่มีเอกลักษณ์ของแบรนด์มาก ๆ มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะเป็นของตัวเอง เช่น ตลาดรองเท้าผู้หญิง ก็จะมี Niecher คือ แบรนด์รองเท้าผู้หญิงที่เป็นแบบ Plus size และ Luxury เป็นต้น

กลยุทธ์ = คงความเป็นเอกลักษณ์แบรนด์ของตัวเอง ถ้าหากต้องการขยายแบรนด์ไปสร้างผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็จะต้องคงภาพลักษณ์และความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเองไว้ พยายามรักษาภาพลักษณ์แบรนด์ อย่าพยายามแหวกแนวจนเกินไป เพราะกลุ่มลูกค้าของ Niecher จะมีความ Sensitive เป็นพิเศษ


ไม่ว่าคุณจะมีบทบาทอย่างไรในตลาด สิ่งสำคัญคือจะต้องรักษาลูกค้าเก่าของตัวเองไว้เสมอ อย่าให้ใครมาแย่งลูกค้าประจำของเราไปได้ และนอกจากนี้ยังต้องคอยปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของตลาดอยู่เสมอ


Source : https://positioningmag.com/59720


Author : Pajaree Kanmaneelert