รู้เยอะยิ่งดี ! รวมคำศัพท์การตลาดที่ควรรู้ พบบ่อย ใช้งานจริง

    การสื่อสารในปัจจุบันไม่ว่าจะสายงานไหน ทุกคนอาจจะเคยได้ยิน หรือนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษมาใช้แทนเข้าไปในประโยค เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายและไม่ซับซ้อน โดยไม่ต้องหาความหมายภาษาไทยกันให้วุ่นวาย รวมถึงสายงานการตลาดก็เช่นกัน ที่นักการตลาดมักจะนิยมใช้ศัพท์การตลาดมาพูดคุยกัน ซึ่งนักการตลาดยิ่งรู้ศัพท์มากเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น คุยกับใครก็เข้าใจไปซะหมด วันนี้ OURPOINT ได้รวบรวมศัพท์การตลาดน่ารู้ ที่พบบ่อย และใช้งานได้จริง มีคำว่าอะไรบ้างมาดูกันเลย

Awareness = การรับรู้
การสร้างการรับรู้ที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและเป็นที่จดจำของลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย

Branding = การสร้างแบรนด์
ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ การทำ Branding จึงเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้โดดเด่น เป็นที่น่าจดจำ เช่น สีของแบรนด์, โลโก้,​ สินค้าหรือบริการ เป็นต้น

Brand Loyalty = ความภักดีต่อแบรนด์
ความนิยมและภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์

Backlink = เว็บไซต์อื่นมีการลิงก์มาที่เว็บไซต์ของแบรนด์ เปรียบเสมือนคะแนนความนิยมที่จะเป็นตัวบอก Google ให้รู้ว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์ของแบรนด์นั้นเป็นที่ยอมรับ

Churn Rate = อัตราการบอกเลิกเป็นลูกค้า
แน่นอนกว่าการเลิกเป็นลูกค้าเท่ากับแบรนด์จะเสียรายได้ เพราะฉะนั้นแบรนด์ไหนมีอัตรา Churn Rate สูงล่ะก็ ไม่ดีแน่นอน แปลว่าแบรนด์มีปัญหาที่ไม่สามารถรักษาลูกค้าเอาไว้ได้ อย่านิ่งนอนใจกันนะ

CDP = Customer Data Platform
เป็นระบบเก็บข้อมูลลูกค้า เพื่อรวบรวมข้อมูลลูกค้าของแบรนด์จากทุกช่องทาง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปวิเคราะห์สร้างกลยุทธ์ทางการตลาด

CTA (Call to Action) = การจูงใจให้ลูกค้ากระทำบางอย่าง
คำ วลี หรือประโยคที่ใส่ไว้ในคอนเทนต์ หรือบทความเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าทำบางอย่าง เช่น กดสั่งซื้อเลยตอนนี้, ส่งข้อความหาเราได้เลย หรือ โทรมาตอนนี้ เป็นต้น

CRM = การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า
ย่อมากจากคำว่า Customer Relationship Management เป็นระบบที่ช่วยในการเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อนำข้อมูลมาใช้ทางการตลาด ใช้ในการดูแลลูกค้าเป็นหลัก ส่งเสริมทางด้านการขายเพื่อทำให้ลูกค้าขาจรกลายเป็นลูกค้าประจำ

Customer Journey - เส้นทางของผู้บริโภค
เป็นการศึกษาพฤติกรรมลูกค้าเริ่มต้ังแต่ลูกค้ารู้จักแบรนด์ จนถึงขั้นตอนการซื้อสินค้าหรือบริการ เพื่อวิเคราะห์กำหนดกลยุทธที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าได้โดยตรง

Engagement = การเข้าถึง หรือการมีส่วนร่วมของลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย เช่น การกดไลค์ กดแชร์ หรือการเข้ามาแสดงความคิดเห็นผ่านช่องทาง Social Media ต่าง ๆ

Emotional Marketing = กลยุทธ์การตลาดที่เน้นเล่นกับอารมณ์ลูกค้า ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก ด้วยการนำเสนอสินค้าที่กระตุ้นให้ลูกค้าเกิดอารมณ์ร่วม เพื่อให้เกิดการตอบสนองตามที่กำหนดวัตถุประสงค์ทางการตลาดเอาไว้

SEM = Search Engine Marketing
เป็นการทำการตลาดออนไลน์ผ่านเครื่องมือค้นหา (Search Engine) เช่น Google เป็นต้น เพื่อให้เว็บไซต์ของแบรนด์ปรากฎอยู่ในหน้าแรกของการค้นหา ซึ่งสามาราทำ SEM จะมีค่าใช้จ่ายเป็นการซื้อพื้นที่เพื่อโฆษณา

SEO = Search Engine Optimization
เป็นการทำให้เว็บไซต์ของแบรนด์ติดอันดับหน้าแรก ๆ ของ Search Engine โดยใช้วิธีการปรับแต่งเว็บไซต์ทั้งในส่วนของโครงสร้างเว็บไซต์ และเนื้อหาต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ

Keyword = คำหลัก หรือคำที่คนมักใช้คนหาบน Search Engine 

Lead = กลุ่มคนที่อาจเป็นลูกค้า หรือผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะซื้อสินค้าหรือใช้บริการของแบรนด์

Lookalike Audience = กลุ่มคนที่มีความคล้ายกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ นักการตลาดมักจะมองหาคนกลุ่มนี้ด้วย เพื่อเป็นการขยายตลาดต่อไปในอนาคต

Influencer = ผู้ที่มีอิทธิพลในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้กระจ่ายข้อมูลเพื่อดึงดูให้ลูกค้าเกิดความสนใจ อีกทั้งยังเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าอีกด้วย

Inbound Marketing = เทคนิคการทำการตลาดที่ดึงดูดลูกค้าเข้ามายังพื้นที่ของแบรนด์ โดยไม่ได้มีการมุ่งเน้นการโฆษณาที่ต้องกระจ่ายไปยังสื่อต่าง ๆ แต่จะเป็นการสร้างข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อดึงให้ลูกค้าเกิดความสนใจและตรงต่อความต้องการของเป้าหมาย

Outbound Marketing = เทคนิคการตลาดแบบผลัก มุ่งเน้นการโฆษณาหรือส่งออกข้อมูลไปตามช่องทางสื่อต่าง ๆ โดยต้องการสร้างการรับรู้และเพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความอยากซื้อสินค้า

Referral Marketing = กลยุทธ์การตลาดที่สื่อสารผ่านลูกค้าที่เคยใช้สินค้าหรือบริการและมีการบอกต่อ โดยทางแบรนด์จะได้กลุ่มลูกค้าใหม่ได้ง่าย และใช้ต้นทุนการโฆษณาน้อย โดยอาจตอบแทนลูกค้าที่บอกต่อเป็นสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้นก็ได้ วิธีนี้จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เพราะมีลูกค้าที่จริงช่วยยืนยันอีกแรง

Search Engine = เครื่องมือในการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต โดยใช้ Keyword ในการค้นหา ซึ่งที่เรารู้จักกันดีและเป็นที่นิยมใช้งานมากที่สุดนั่นก็คือ Google นั่นเอง

End User = ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการของแบรนด์โดยตรง

CPA (Cost Per Action) = การคิดค่าโฆษณาต่อหนึ่งการกระทำของผู้ใช้งาน

CPC (Cost Per Click) = การคิดค่าโฆษณาต่อหนึ่งการคลิกของผู้ใช้งาน

CPV (Cost Per Video) = การคิดค่าโฆษณาต่อการรับชมวิดีโอ 1 ครั้งของผู้ใช้งาน

Owner Media = ช่องทางการสื่อสารที่แบรนด์เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้สร้าง เพื่อให้ในการสื่อสารกับลูกค้า เช่น เว็บไซต์, ป้ายโฆษณา, Social Media, บล็อก เป็นต้น

Paid Media = สื่อออนไฟล์ และออฟไลน์ที่ต้องจ่ายเงินเพื่อใช้เป็นพื้นที่โฆษณา เป็นวิธีการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อนำคนเหล่านี้เข้ามายัง Owner Media ได้แก่ Promoted Posts on Facebook, Paid Search, Tweets Sponsored และ Display Ads เป็นต้น


คำศัพท์เหล่านี้มักจะได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ อันที่จริงแล้วยังมีคำศัพท์อีกเยอะมาก เพื่อนำไปใช้ในการทำงาน OURPOINT จะรวบรวมคำศัพท์มาอัปเดตให้เรื่อย ๆ ติดตามกันได้เลย